ไม้ผลัดใบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเขาขึ้นมา ไม้มันผลัดใบ ใบไม้จะผลัดใบ ถ้าใบไม้ถึงเวลาต้องผลัดใบไปธรรมชาติของมัน ไอ้นี่เหมือนกัน ชีวิตเราเกิดมาแล้วต้องตายไปธรรมชาติของเขา แต่เวลาไม้ผลัดใบ เห็นไหม มันผลัดใบถ้าลมมันแรงมันผลัดไป ขั้วมันไม่เหลือ มันผลัดไปก่อน ถ้าขั้วมันเหลือ มันผลัดใบนี่มันก็ถึงอายุขัยมันสิ้นไป ถ้าอายุขัยมันสิ้นไปมันก็จบไปตามธรรมชาติของมัน
ถ้าตามธรรมชาติของมัน มันก็หมุนไปตามกรรม แต่ทำความดีความชั่วไว้นี่ ทำคุณงามความดีของเรานี่ เราทำคุณงามความดีของเราเป็นบุญกุศลของเรา เวลาไม้ผลัดใบไป มันเป็นไม้ผลัดใบ มันไม่มีจิตวิญญาณ ถ้ามีจิตวิญญาณก็เหมือนต้นไม้ต้นรับรู้ แล้วมันต้องผลัดใบไป
แต่ของเรามันมีหัวใจ หัวใจของเรานี่มันเป็นแกน มันเป็นหลักเลย เวลามันผลัดใบนี่ มันผลัดชีวิตผลัดภพชาติ แต่มันไม่มีอะไรตายหรอก มันแปรสภาพไปเฉย ๆ เท่านั้นเอง คุณงามความดีของเรานี่ เราสร้างสมคุณงามความดีของเรา มันก็ไปเกิดสถานะใหม่ ๆ มันไม่มีวันที่สิ้นสุดเลย เว้นไว้แต่พระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์เท่านั้นทำที่สิ้นสุดตรงนี้ให้ได้ ถ้าไม่มีที่สิ้นสุดนี่เราก็ต้องอาศัยบุญกุศลเป็นเครื่องดำเนิน
ผู้ที่ฉลาด เห็นไหม ถ้าผู้ที่ฉลาดมันมีว่าเวลาเราจะเป็นไปตามธรรมชาติของเรานี่ เราไม่ตื่นเต้น ถ้าเข้าใจตามสัจจะความจริงแล้ว การเกิดการตายนี่เป็นไปธรรมชาติของมันอย่างหนึ่ง เป็นธรรมชาติของมันเห็นไหม แล้วเราก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งใช่ไหม ชีวิตเราก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ชีวิตเราต้องอยู่ในธรรมชาติอันหนึ่ง ถ้าชีวิตเราอยู่ในธรรมชาติอันหนึ่งเราจะปฏิเสธสิ่งนั้นได้อย่างไร
เราจะปฏิเสธสิ่งนั้นหรือไม่ปฏิเสธสิ่งนั้น สิ่งนั้นต้องเป็นไปตามกาลของเขา กาลของเขาต้องเป็นไปตามกาลของเขาอย่างนั้น นี้เราอยู่ในกาลของเขานี่เราไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ ถ้าไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ มันเป็นไปตามสภาวะอย่างนั้น เพียงแต่ว่าเราจะไปทางดีทางชั่ว คือว่าเราประคองรถของเราให้ไปตรงตามทาง ถ้ารถเราไปตรงตามทางนี่ เราจะวิ่งไปตามถนนหนทางสะดวกสบายเลย ถ้ารถเราตกข้างทางนี่มันจะต้องตกข้างทาง ต้องระหกระเหิน เห็นไหม
เหมือนชีวิตเรา ถ้าชีวิตเราเวลามันพบอุปสรรคเหมือนตกข้างทางนี่ เราต้องพยายามจะทำให้รถเราขึ้นบนทางให้ได้ ถ้าขึ้นบนทาง ทางนี่คืออะไร? ทางคือมรรคอริยสัจจังไง ทางเป็นทางเอก ทางเอกคือทางพ้นไปแห่งทุกข์ อันนั้นมรรคอริยสัจจัง มรรคอย่างหยาบ ๆ มรรคของชีวิต มรรคของญาติโยมคฤหัสถ์ มรรคการดำรงชีวิต การเลี้ยงชีวิตชอบ การความเพียรชอบ ทำงานชอบ
ความชอบของเรานี่ ความชอบเปรียบเหมือนกับความหอมของศีล ศีลจะหอมทวนลมไป คุณงามความดีของเราจะหอมไปทวนลม นี่คุณงามความดีหอมทวนลม กลิ่นของดอกไม้หอมไปตามลม กลิ่นของธรรมชาติหอมไปตามลม กลิ่นของคุณงามความดีนี่หอมทวนลมไปตามกระแสปากของผู้ใหญ่ไป
แล้วหอมทวนลม เห็นไหม ทวนกระแสไง ความถูกต้องของเรา ความในหัวใจของเรา เราทำคุณงามความดีของเรานี่ มันสะสมลงที่ใจ หอมทวนลมสิ คนคุณงามความดี คนดีน่ะ คนเกิดมา เห็นไหม ประวัติศาสตร์จารึกไว้เลย คนนั้นเป็นคนดี ๆ คนนั้นเป็นคนกอบกู้ชาติ คนนั้นกอบกู้เอกราช คนนี่เป็นคนคุณงามความดี แต่คนคุณงามความดีแล้วเขาก็ภพชาติหนึ่ง แล้วเขาก็เกิดตายในวัฏวนนั้น สิ่งที่เขากู้ไว้ เขารักษาไว้ เขาก็มาใช้สมบัติเดิมของเขา แต่เขาไม่รู้ตัว
อันนั้นเป็นชีวิต เป็นวังวนในชีวิตมันหมุนไปตามคุณงามความดี มันก็หมุนไป นี่วัฏฏะเป็นอย่างนั้น ทีนี้ถ้าพูดถึงเราจะไม่ให้เกิดไม่ให้ตาย การไม่ให้เกิดไม่ให้ตายมีทางเดียว ทางเดียวคือทำชำระจิตใจของเรานี่ ถ้าเราชำระจิตใจของเราได้ จิตใจไม่มีเชื้อภพชาติต่อไป ความเกิดความตายมันจะสิ้นสุดลงตรงนั้น แล้วมันจะมีความสุขในหัวใจ ความสุขในหัวใจคือว่า ความพะรุงพะรังในใจมันไม่มี
อันนี้ความพะรุงพะรังในใจนี่จะไปก็ห่วงหน้าพะวงหลัง ห่วงข้างหน้านะข้างหน้าจะไปประสบอะไรก็ไม่รู้ ข้างหลังก็ไม่อยากจะพลัดพรากจากอะไรทั้งสิ้นเลย นั่นน่ะมันห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่ทำความเข้าใจ ถ้าทำความเข้าใจนี่มันไปตามสถานะ สถานะทำคุณงามความดี แล้วมันไปคุณงามความดี ของเราทำคุณงามความดีไว้มหาศาลเลย แล้วเราไปห่วงพะวงหลังไว้นี่ มันจะเกิดตามสถานะ มันไม่เกิดสถานะนี้ มันเกิดตามห่วงพะวง เห็นไหม
ความพะวงอันนั้นน่ะมันทำให้ติดข้อง ความติดข้องของใจนี่ ออกจากบ้านมาแต่งชุดอะไรออกมาได้ชุดนั้น ออกจากหัวใจ หัวใจออกจากร่างไป ห่วงหน้าพะวงหลังมันก็อยู่บริเวณนั้น มันไม่ไปไกล ถ้าเราไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง เราไปตามกระแสของกรรม ตามกระแสคุณงามความดี คิดแต่คุณงามความดีไว้ มันเสวยภพเสวยชาติดี นี่พ่อแม่เราไป ไปตามสถานะเลย ไปตามคุณงามความดี ให้เกิดในสวรรค์ ให้เกิดในพรหมโลก ให้เกิดเป็นมนุษย์สมบัติ ให้เกิดในที่ดี ๆ ขึ้นมา เพื่อสร้างสมของตัวเองขึ้นมาใหม่ สร้างสมชีวิตของเราขึ้นมาอีก
ชีวิตจิตใจของเรามันต้องเวียนไป ๆ ตามธรรมชาติของมัน พระพุทธเจ้าสอนให้สัจจะชีวิต สมบัติต่าง ๆ เป็นเครื่องอยู่อาศัย สรรพสิ่งต่าง ๆ นี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาต้องพลัดพรากจากเราวันยังค่ำ มันต้องพลัดพรากจากกัน ถึงเราจะเก็บสะสมไว้ดีขนาดไหน เราก็ต้องพลัดพรากจากเขาไป ถ้าเราไม่พลัดพรากจากเขาไป เราก็ต้องใช้จ่ายไป ใช้สอยไป มันต้องพลัดพรากจากเราไป
สิ่งนี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย เครื่องอยู่อาศัยเราพอหาอยู่หากินพอเราประทังชีวิตไป เราไม่ติดข้องเลยถึงว่าเราจะเดือดร้อนทุกข์ใจของเราไป ทำหัวใจให้มันสะดวกสบาย หัวใจให้มันผ่องใส ความผ่องใสของใจมันมีช่องทาง เห็นไหม ความช่องทางของใจนี่ ความพะรุงพะรังของใจมันก็ไม่มี ความพะรุงพะรังของใจไม่มี มันก็สะดวกสบายไปหมด ความสะดวกสบายในการค้นคว้า ความสะดวกสบายในการทำมาหากิน เห็นไหม ในคนไม่มีความทุกข์ยากในหัวใจ คนไม่มีความพะรุงพะรังเดินไปกับคนที่ห่วงหน้าพะวงหลังเดินไป
ความเดินไปของชีวิต มันต้องเดินไปนะ ชีวิตนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชีวิตนี้จะไม่เป็นไปแบบนี้ ชีวิตนี้เป็นแบบนี้โดยธรรมชาติของมัน ชีวิตนี้เป็นธรรมชาติของมัน ต้องเป็นแบบนี้ แล้วเราฉลาดในชีวิตของเรานี่ เราต้องฉลาดของเรา ถ้าเราฉลาดในชีวิตของเรานี่ เห็นไหม สรรพสิ่งมันเกิดที่ใจ มันจะขุ่นข้องหมองใจขนาดไหน ถ้าทำความสะดวกของใจ ใจสลัดภาระสิ่งนั้นทิ้ง มันจะวางภาระสิ่งนั้นไว้เลย แล้วมันจะก้าวเดินไปตามความเห็นของมัน
ถ้าหัวใจมันไปพะวงกับมันอยู่นะ มันไม่เข้าใจแล้วมันไปยึดสิ่งนั้นไว้ มันยึดติดสิ่งนั้นแล้วมันก้าวเดินไปไม่ได้ตามสภาวะของใจของตัวเอง ถ้าก้าวเดินไปตามสภาวะของใจไม่ใช่ตัวเอง มันก็ติดขัดไป ความติดขัดไปเห็นไหม ความติดขัดนี่มันเป็นภาระที่ว่ามันเป็นตามจริงของมันอยู่อย่างนั้น เราจะสลัดออกได้หรือออกไม่ได้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นธรรมชาติของมัน
แต่ถ้าเราสลัดได้ เป็นความทุกข์ขนาดไหนเราก็วางได้ แล้วเราจะเอาหัวใจของเราก้าวเดินไปตามความเป็นจริงของมัน ถ้าเราไม่สลัดออกอย่างนี้ มันติดขัดไป เห็นไหม จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ปลดเปลื้องได้ มันเป็นสิ่งที่วางได้ สิ่งที่จะทุกข์ขนาดไหนมันก็วางได้ วางได้ทั้งหมด เพราะมันไม่ใช่ใจ มันเป็นอารมณ์ของใจ มันไม่ใช่ใจ มันเกิดดับในที่ใจ มันปล่อยวางได้ แล้วใจมันเป็นตัวใจอีกตัวหนึ่ง ธรรมชาติของมันก็วางได้ แต่เราไม่เห็น เราไม่เข้าใจความเห็นของเรา เราไม่เข้าใจตามธรรมชาติของเรา เรามองเห็น แต่เราเข้าใจว่ามันเป็นของของเรา
เวลาวัตถุสิ่งของนี่ มันไม่ใช่เป็นของของเราเลย มันเป็นวัตถุ เรายังจับต้องมันได้ว่าเป็นของของเรา แต่มันก็พลัดพรากไป อารมณ์ยิ่งกว่านั้นอีก มันเกิดดับอยู่ที่ใจ มันเกิดแล้วมันดับอยู่ที่ใจ มันยิ่งไม่ใช่ของเราใหญ่เลย แต่มันเป็นการสื่อสารกัน มันเป็นธรรมชาติของใจ ใจต้องเป็นรับรู้สิ่งนั้น รับรู้สิ่งนั้นแล้วเป็นไปตามสภาวะสิ่งนั้น แล้วก็ไม่เข้าใจไง ก็เลยโดนหลอกไป โดนขันธ์มันหลอกตัวเองไป หมุนเวียนไปตามความเห็นของเรา หมุนไปอย่างนั้น นี่โดนตัวเองหลอกตัวเองโดยไม่เข้าใจเลย ถ้าตัวเองเข้าใจตัวเองมันจะปล่อยวางสิ่งนั้นไว้เป็นความจริงได้
ถึงต้องทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันจะเห็นว่ามันปล่อยวางโดยธรรมชาติของมันไง ใจมันสงบขึ้นมามันจะปล่อยวาง พอปล่อยวางเราจะเข้าใจว่า เอ๊าะ! มันไม่ใช่เรา เราปล่อยวางได้ ถ้าเอ๊าะ! แล้วไม่ใช่เรานี่มันเข้าใจเอง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจัตตังแล้วมันจะวางได้ ถ้าคนวางไม่ได้เพราะมันไม่เข้าใจตัวเอง มันไม่รู้จักตัวเอง มันไม่เข้าใจสิ่งนั้นจะหลุดออกไปได้ มันก็ยังหมุนเวียนไป คนถ้าปล่อยวางได้หนหนึ่งแล้วมันจะฝังใจ ความฝังใจอันนั้นมันจะทำให้สืบต่อไป ๆ ๆ ถ้าทำได้ขนาดนี้มันก็เป็นหลัก เป็นความอุ่นใจ ใจมีหลักเป็นที่พึ่ง มีความอุ่นใจของใจ
แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนามากกว่านั้น เห็นไหม ก้าวเดินต่อไปนี่มันต้องยกขึ้นวิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนาเหมือนหมอ ไปหาหมอนี่หมอวิเคราะห์โรคออกมา เป็นอะไรนี่ เข้าใจว่าเราเป็นโรคแล้ว เราก็พอใจว่าเราเป็นโรคแล้ว แต่เรายังไม่ได้รักษาโรคของเรา ถ้าวิเคราะห์โรคแล้วนี่ วิเคราะห์โรคนี่สำคัญอันหนึ่ง จับโรคร้ายได้ว่าเราเป็นโรคร้ายอะไร แล้วรักษาไปตามความเป็นจริง รักษาไปตามสถานะของมัน ถ้ามันหายได้มันจะหายได้ ถ้ามันหายไม่ได้เราก็ต้องรักษาไปบ่อย ๆ เข้า คือว่ากิเลสมันจะขาดได้กับไม่ได้นี่มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาเหมือนกัน
แต่ถ้าคนทำถึงที่สุดแล้วกิเลสมันต้องขาดออกไปจากใจ กิเลสกับใจมันก็เหมือนอาคารของขันธ์ ขันธ์มันปกคลุมหัวใจไว้ ขันธ์นี่มันสืบต่อ สถานะของมันเกิดเป็นมนุษย์มีขันธ์ ๕ เกิดเป็นเทวดามีขันธ์ ๔ เกิดเป็นพรหมมีขันธ์ ๑ สถานะอันนี้ สถานะนี่มันเกิดขึ้นมาเป็นสถานะมันถึงมี ขันธ์ ๕ ที่เป็นมนุษย์ที่ความคิด ความคิดของเรานี่ เราจะสืบต่อไม่ได้เลย
ทำความสงบจะสื่อสารกับพวกเทวดา พวกพรหมนี่ มันเป็นภาษาของใจ มันทำความสงบของใจแล้วเอาใจนั้นถาม มันไม่ใช่ถามด้วยขันธ์ อาการของขันธ์ เห็นไหม อาการของขันธ์นี่เป็นสภาวะชั่วคราว ชั่วคราวในสถานะของภพชาติหนึ่ง ภพชาติหนึ่งนี่มันต้องสละออกเหมือนกับสมบัติ มันจะเป็นสถานะใหม่มันก็เป็นอาการของมันใหม่
แต่มันมีอันหนึ่งจิตปฏิสนธินี่สำคัญ จิตปฏิสนธิมันไม่ใช่ขันธ์ มันเป็นจิตปฏิสนธิ เวลาจิตสงบเข้าไปนี่มันจะผ่านขันธ์เข้าไป ผ่านถึงความสงบของใจ ถ้าถึงความสงบของใจ ถึงจิตปฏิสนธิอันนั้น ความเข้าใจนี่ ความสะสมของทุก ๆ อย่างที่เราทำคุณงามความดีก็เหมือนกัน ในอาการของขันธ์นี่เป็นการสืบต่อ เห็นไหม อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใจมันผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันผ่านสถานะอย่างไร มันรับรู้สิ่งใด มันสะสมสิ่งนั้น สะสมสิ่งนั้นแล้วมันก็สะสมลงมาไว้ที่ใจ ไว้ที่จิตปฏิสนธินั้น เวลาจิตปฏิสนธินี้ไปเกิดมันถึงระลึกชาติไม่ได้ จำชาติของตัวเองไม่ได้ เว้นไว้แต่ชาติเก่า ๆ มันจะจำมันระลึกได้ เพราะขันธ์อันนี้มันเปลี่ยนเป็นขันธ์ใหม่ ๆ ๆ เป็นขันธ์ใหม่ไป
แต่จิตนั้นไม่เปลี่ยน ตัวของจิตนั้นไม่เคยเปลี่ยน ตัวของจิตไม่เคยตาย ตัวของจิตนั้นแปรสภาพไปตามได้สถานะใหม่ ๆ ตัวสถานะนั้นเป็นสถานะนั้น ถ้าแก้ตรงนี้ได้นะสรรพสิ่งของโลกนี้มันเป็นของเก้อ ๆ เขิน ๆ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติของมัน เราอาศัยไปนี่สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสแล้วยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม
อย่างเช่นพระโมคคัลลานะนี่เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ยังโดนโจรทุบถึงตาย ตายเพราะโดนทุบถึงร่างกาย แต่ไม่สามารถทำถึงหัวใจได้ คนเราทุบถึงตายนะแต่ไม่สามารถสะเทือนหัวใจได้เลย ไม่สะเทือนหัวใจเพราะหัวใจมันพ้นจากกิเลสไป แต่ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ มันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น แล้วพระอรหันต์ถ้านิพพานไป ถ้าตายไป อนุปาทิเสสนิพพานกับสอุปาทิเสสนิพพาน สิ้นกิเลสไป สิ้นเศษส่วน สิ้นไปทั้งหมดเลย
นี่มันเป็นเรื่องของสภาวะของใจที่เราว้าเหว่อยู่นี่ สภาวะของใจที่เราทุกข์ยากอยู่นี่ มันสามารถสร้างสมให้เป็นอย่างนั้นได้ ถ้าเราสร้างสมได้ ศึกษาธรรมะมันถึงว่ามีที่พึ่งตลอดไป มีที่พึ่งตลอดไปแล้วยังมีที่พึ่งตลอดไปจากชาตินี้ ชาติต่อไปยังสะสมไปได้ มันสะสมลงที่จิตปฏิสนธิดวงนี้ จิตดวงนี้เวียนตายเวียนเกิดไป จนถึงสิ้น เห็นไหม พระอนาคาไม่เกิดอีกแล้วในกามภพ แต่พระอนาคาก็ยังมีจิตปฏิสนธิอยู่ พระอนาคายังต้องเกิดในพรหมอยู่ แล้วไปสุดในพรหมข้างหน้า พระอนาคาจะไม่มีการกลับมาเกิดอีกในกามภพ แต่กลับมาเกิดในตรงนั้น แล้วสิ้นไป
แต่จิตดวงนั้นมีอยู่ในทุก ๆ คน จิตดวงนั้นมีอยู่ในร่างกายของเรา เราสามารถทำได้ เราสามารถประพฤติปฏิบัติได้ แต่มันสามารถที่ว่า ความเชื่อของเรา ถ้าเรามีความเชื่อในศาสนา เราทำความจริงจังในศาสนา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ งานการชำระกิเลสเป็นงานอันประเสริฐที่สุด...
(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)